แม้ว่าโลกในปัจจุบันจะก้าวเข้าสู่ยุคของการยืนยันตัวตนแบบใหม่ เช่น Passkeys หรือการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (Multi-Factor Authentication: MFA) แต่ “รหัสผ่าน (Password)” ยังคงเป็นแนวป้องกันชั้นแรกของบัญชีออนไลน์ส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม รายงานการวิเคราะห์ข้อมูลด้านความปลอดภัยในปี พ.ศ. 2568 พบว่า ผู้ใช้งานจำนวนมากยังคงใช้รหัสผ่านที่เดาง่าย หรือใช้รหัสผ่านซ้ำกันในหลายบริการ ทำให้ตกเป็นเป้าการโจมตีจากแฮ็กเกอร์ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการ เดารหัส (Brute-force), การ นำบัญชีที่รั่วมาใช้ซ้ำ (Credential-stuffing) หรือการโจมตีด้วย มัลแวร์ขโมยข้อมูล (Infostealer)
1. รหัสผ่านที่มีความเสี่ยงสูงและถูกโจมตีบ่อย
จากการรวบรวมข้อมูลรหัสผ่านที่รั่วไหลทั่วโลก พบว่ารหัสผ่านต่อไปนี้ยังคงถูกใช้อย่างแพร่หลายและเป็นเป้าหมายแรกของแฮ็กเกอร์
ตัวอย่างรหัสผ่านยอดนิยมที่อันตราย (ข้อมูลจาก NordPass)
นอกจากนี้ ยังมีรหัสผ่านที่อ้างอิงจากข้อมูลส่วนตัวหรือเหตุการณ์ เช่น วันเกิด, หมายเลขโทรศัพท์, ชื่อสัตว์เลี้ยง คำยอดนิยมตามปี เช่น Winter2024, Summer2025 ซึ่งแม้จะจำง่าย แต่กลับคาดเดาได้ง่ายเช่นกัน (ข้อมูลจาก Specops Software)
2. เหตุผลที่รหัสเหล่านี้ถูกแฮ็กได้ง่าย
เดาได้ง่าย (Predictable Patterns)
รหัสผ่านที่อยู่ในรูปแบบตัวเลขเรียง เช่น “123456” มักอยู่ในฐานข้อมูล “รหัสที่ต้องลองก่อน” ของแฮ็กเกอร์ (Dictionary หรือ Rainbow Tables) ทำให้สามารถถอดรหัสได้ภายในไม่กี่วินาที (NordPass)
การใช้รหัสซ้ำ (Password Reuse)
ผู้ใช้จำนวนมากมักใช้รหัสเดียวกันในหลายเว็บไซต์ หากบัญชีหนึ่งรั่ว ข้อมูลรหัสนั้นสามารถถูกนำไปเข้าถึงบัญชีอื่น ๆ ได้ทันที ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการโจมตีแบบลูกโซ่ (AP News)
การโจมตีแบบ Credential-Stuffing
แฮ็กเกอร์จะนำชุดบัญชีและรหัสผ่านที่รั่วจากเว็บไซต์หนึ่ง ไป “ยัด” (Stuff) เข้ากับเว็บไซต์อื่น เพื่อเข้าควบคุมบัญชีโดยอัตโนมัติ ซึ่งมีอัตราความสำเร็จสูงมาก (Verizon)
มัลแวร์ขโมยข้อมูล (Infostealers)
โปรแกรมอันตรายที่แอบเก็บรหัสผ่านและข้อมูลผู้ใช้จากคอมพิวเตอร์ ก่อนส่งออกไปยังเครือข่ายของผู้ไม่หวังดี เพื่อขายต่อในตลาดมืด (Tom’s Guide)
3. แนวทางการป้องกันและปฏิบัติที่แนะนำ
เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีออนไลน์ตกเป็นเป้าการโจมตี ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
🔸 ใช้รหัสผ่านที่มีความยาวอย่างน้อย 12–16 ตัวอักษร หรือใช้เป็น “Passphrase” (วลีที่ยาวและจำง่าย เช่น กาแฟเช้า#อ่านข่าว2568!).
🔸 ไม่ใช้รหัสผ่านเดียวกันในหลายบริการ ควรใช้โปรแกรม Password Manager เพื่อสร้างและจัดเก็บรหัสผ่านที่แตกต่างกันในแต่ละบัญชี.
🔸 เปิดใช้การยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (MFA) หากมีบริการรองรับ ควรเปิดใช้เสมอ — แม้การยืนยันผ่าน SMS จะดีกว่าไม่มีเลย แต่การใช้แอปยืนยันตัวตน (Authenticator App) หรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ MFA จะปลอดภัยกว่า.
🔸 เปลี่ยนรหัสผ่านทันทีเมื่อพบข่าวการรั่วไหลของข้อมูล และตรวจสอบว่าบัญชีของตนเคยถูกละเมิดหรือไม่ ด้วยบริการแจ้งเตือนข้อมูลรั่ว (Breach Notification Service).
สรุป
แม้เทคโนโลยีจะพัฒนาไปมาก แต่รหัสผ่านยังคงเป็นเส้นทางหลักที่แฮ็กเกอร์ใช้เข้าถึงบัญชีผู้ใช้งาน การเลือกใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อน ไม่ซ้ำกัน และมีการยืนยันตัวตนหลายชั้น จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เริ่มต้นจาก “นิสัยของผู้ใช้” — หากทุกคนให้ความสำคัญกับการตั้งรหัสผ่านที่ปลอดภัย ก็จะเป็นเกราะป้องกันชั้นแรกที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกดิจิทัลในปัจจุบัน